โรคลำไส้ใหญ่บวม (Colitis) เป็นหนึ่งในโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของเยื่อบุในลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีผลกระทบต่อการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ถึงแม้ว่าจะเป็นโรคที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน แต่หลายคนกลับมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญกับอาการที่เกิดขึ้น เพราะอาการของโรคบางครั้งอาจไม่รุนแรงและค่อย ๆ พัฒนาไปในระยะยาว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น การติดเชื้อในลำไส้ หรือการทำลายลำไส้ที่อาจต้องการการรักษาด้วยวิธีที่ซับซ้อนขึ้น
1. โรคลำไส้ใหญ่บวมคืออะไร?
โรคลำไส้ใหญ่บวม (Colitis) เป็นภาวะที่เยื่อบุในลำไส้ใหญ่ (ลำไส้ใหญ่) ถูกอักเสบหรือเสียหายจากหลายสาเหตุ โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในรูปแบบเฉียบพลัน (พัฒนารวดเร็วและชัดเจน) หรือเรื้อรัง (ยืดเยื้อและกลับเป็นซ้ำได้ง่าย) นี่คือหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
2. สาเหตุของโรคลำไส้ใหญ่บวม
โรคลำไส้ใหญ่บวมสามารถเกิดจากหลายปัจจัย:
- การติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือปรสิต: เช่น E.coli, Clostridium difficile, Giardia…
- พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด: การรับประทานอาหารดิบ, เน่าเสีย, หรือมีสารเคมีปนเปื้อน
- ผลข้างเคียงจากยา: ยาปฏิชีวนะ, ยาต้านการอักเสบ, ยาลดอาการปวด
- ความเครียดเรื้อรัง: ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทในลำไส้, ทำให้การบีบตัวของลำไส้ไม่ปกติ
- ความไม่สมดุลของจุลชีพในลำไส้: การขาดสมดุลระหว่างจุลินทรีย์ที่ดีและที่ไม่ดี
3. อาการที่สังเกตได้ของโรคลำไส้ใหญ่บวม
โรคนี้อาจแสดงอาการอย่างเงียบๆ หรือชัดเจน แต่มีอาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- ปวดท้องแบบเรื้อรังหรือปวดเป็นระยะๆ โดยมักจะรู้สึกที่บริเวณท้องด้านซ้ายล่างหรือรอบๆ สะดือ
- ถ่ายอุจจาระเหลวบ่อยครั้ง ซึ่งอาจมีมูกหรือเลือดปน
- มีการถ่ายท้องและท้องผูกสลับกันอย่างไม่แน่นอน
- ท้องอืด, แน่นท้อง, ย่อยไม่ดี
- หลังการถ่ายอุจจาระยังรู้สึกเหมือน “ไม่เสร็จ”
- รู้สึกอ่อนเพลีย, น้ำหนักลด, ดูดซึมสารอาหารได้ไม่ด
4. ภาวะแทรกซ้อนหากไม่รักษาทันที
หากโรคลำไส้ใหญ่บวมเรื้อรังไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น:
- การอักเสบของลำไส้ที่ลุกลาม, ทำให้ปวดรุนแรงและเลือดออก
- ลำไส้ใหญ่ขยายตัวแบบเฉียบพลัน (Toxic megacolon) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
- การตีบแคบของลำไส้ใหญ่, ทำให้ลำไส้อุดตัน
- มะเร็งลำไส้ใหญ่, โดยเฉพาะในผู้ที่มีการอักเสบเรื้อรังเกิน 8-10 ปี
5. วิธีการรักษาและการดูแล
🔹 การรักษาทางการแพทย์:
- ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอักเสบหากมีการติดเชื้อ
- การเสริมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ (โปรไบโอติก) และไฟเบอร์ที่ละลายน้ำ (พรีไบโอติก)
- บางกรณีอาจต้องส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นระยะเพื่อตรวจสอบความเสียหาย
🔹 การปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต:
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและดื่มน้ำที่ผ่านการต้ม; หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด, ดิบ หรือมีไขมันมาก
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์, กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแก๊ส
- รับประทานอาหารเสริมจากสมุนไพรธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาเยื่อบุในลำไส้, ลดการอักเสบและปรับสมดุลจุลชีพ
- รักษาสภาพจิตใจให้ผ่อนคลาย, นอนหลับให้เพียงพอ, หลีกเลี่ยงความเครียด
โรคลำไส้ใหญ่บวมเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การมองข้ามอาการเริ่มต้นหรือการรักษาที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้โรคกลับมาเป็นซ้ำและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ ควรฟังร่างกายของตนเอง, ไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ และเลือกวิธีการเสริมที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรกเพื่อปกป้องระบบย่อยอาหารให้แข็งแรงทุกวัน
ดร. อมรรัตน์ วงศ์สุข
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและระบบทางเดินอาหาร