โรคกรดไหลย้อน – หลอดอาหาร: อาการและวิธีการรักษา

โรคกรดไหลย้อน (GERD) คือภาวะที่กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร โดยส่วนใหญ่แล้วการไหลย้อนจะเกิดขึ้นในระยะสั้นและไม่ทำให้เกิดอาการที่ไม่สบายหรือภาวะแทรกซ้อนใดๆ อย่างไรก็ตาม หากโรคกรดไหลย้อนไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต เช่น มะเร็งหลอดอาหาร บทความนี้จะให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะนี้

1.โรคกรดไหลย้อน (GERD) คืออะไร?

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease – GERD) เกิดขึ้นเมื่อกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อจากปากไปยังกระเพาะอาหาร เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง จึงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการอักเสบที่เยื่อบุหลอดอาหาร

ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการของ GERD ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือใช้ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ที่ซื้อจากร้านขายยา แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรับยาที่มีฤทธิ์แรงขึ้น หรือบางกรณีอาจต้องผ่าตัดเพื่อบรรเทาอาการ

2.สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน (GERD)

ภาวะนี้เกิดขึ้นจากการที่กรดในกระเพาะอาหารหรือสารน้ำจากน้ำดีไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร เมื่อกลืนอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (หูรูดกล้ามเนื้อที่ฐานของหลอดอาหาร) จะคลายตัวเพื่อให้อนุญาตให้อาหารและน้ำจากอาหารไหลลงสู่กระเพาะอาหารและจากนั้นจะปิดลง อย่างไรก็ตาม หากกล้ามเนื้อนี้ขยายตัวผิดปกติหรืออ่อนแอ กรดจากกระเพาะอาหารอาจไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบ่อยครั้งและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

การไหลย้อนกรดบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุภายในหลอดอาหาร เมื่อเวลาผ่านไป การอักเสบนี้อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเยื่อบุและก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การมีเลือดออก, หลอดอาหารตีบแคบ หรือโรคหลอดอาหารบาร์เร็ตต์ (ความเสียหายที่เป็นมะเร็งระยะเริ่มต้น)

3.อาการของโรคกรดไหลย้อน

  • เรอ: เกิดบ่อย แม้ในขณะที่หิวหรือไม่ได้กินอะไร
  • แสบร้อนกลางอก: ความรู้สึกร้อนจากกระเพาะอาหารหรือบริเวณหน้าอกส่วนล่างที่แผ่ขึ้นไปยังคอและบางครั้งถึงลำคอหรือตามใบหู พร้อมกับรสเปรี้ยวในปาก
  • เรอเปรี้ยว: อาหารหรือของเหลวที่มีรสเปรี้ยวจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ ซึ่งมักเกิดหลังการรับประทานอาหารและแย่ลงในตอนกลางคืน
  • อาเจียนและคลื่นไส้: อาจเกิดขึ้นเมื่อรับประทานอาหารมากเกินไป นอนลงหลังการรับประทานอาหารทันที หรือไม่ยกศีรษะให้สูงขึ้นขณะนอน
  • ความรู้สึกแสบร้อนในหน้าอก, ความรู้สึกเจ็บหน้าอก
  • น้ำลายไหลมาก, กลืนลำบาก, ความรู้สึกมีสิ่งติดขัดในลำคอ

หากมีกรดไหลย้อนในเวลากลางคืน ผู้ป่วยอาจประสบปัญหาดังนี้:

  • ไอเรื้อรัง
  • อักเสบที่กล่องเสียง
  • เกิดโรคหอบหืดหรืออาการของโรคที่มีอยู่แย่ลง
  • การนอนหลับถูกรบกวน

หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเช่น เจ็บที่บ่า, แขน หรือคาง, หายใจลำบาก, เวียนศีรษะ… ควรไปโรงพยาบาลทันที อาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่อาจเกี่ยวข้องกับโรคกรดไหลย้อนเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นสัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack)

4.ภาวะแทรกซ้อนที่ควรรู้

เนื่องจากการขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคกรดไหลย้อนหลายคนจึงไม่ให้ความสำคัญกับโรคนี้อย่างเพียงพอ ในความเป็นจริงโรคกรดไหลย้อนสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น หลอดอาหารตีบแคบ, แผลในหลอดอาหาร และในกรณีที่รุนแรงที่สุดอาจนำไปสู่มะเร็งหลอดอาหาร ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรนิ่งเฉยเมื่อมีอาการของโรคกรดไหลย้อน

การอักเสบในหลอดอาหารเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้:

  • หลอดอาหารตีบแคบ: การบาดเจ็บที่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารที่กระทบกับหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำให้เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็น ซึ่งแผลเป็นนี้ทำให้ช่องทางของหลอดอาหารแคบลง ทำให้กลืนอาหารได้ยาก
  • แผลในหลอดอาหาร: กรดในกระเพาะอาหารที่สะสมเป็นเวลานานอาจทำให้เยื่อบุหลอดอาหารถูกทำลายจนเกิดแผลในหลอดอาหาร ซึ่งแผลนี้อาจทำให้เลือดออก, ปวด และกลืนลำบาก
  • การเปลี่ยนแปลงที่เป็นมะเร็งในหลอดอาหาร (หลอดอาหารบาร์เร็ตต์): ในกรณีของหลอดอาหารบาร์เร็ตต์ เยื่อบุส่วนล่างของหลอดอาหารจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร ถึงแม้ว่าอัตราการพัฒนาเป็นมะเร็งจะไม่สูงมาก แพทย์ยังแนะนำให้ทำการส่องกล้องหลอดอาหารเพื่อหาสัญญาณมะเร็งแต่เนิ่นๆ
  • มะเร็งหลอดอาหาร: นี่คือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ มักพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี โดยในระยะแรกมะเร็งอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่เมื่อมะเร็งเริ่มลุกลามอาจทำให้มีอาการเช่น เสียงแหบ, กลืนลำบาก, ปวดกระดูกอกหลังจากนั้น… ดังนั้นเมื่อมีอาการกรดไหลย้อน ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง

5.การรักษาโรคกรดไหลย้อน (GERD)

5.1. ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

การรักษาอาการแสบร้อนกลางอกและอาการอื่น ๆ ของกรดไหลย้อนเริ่มต้นด้วยการใช้ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อควบคุมกรด หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาหลายสัปดาห์ แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาอื่น ๆ รวมถึงการใช้ยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์หรือการผ่าตัด

การรักษาเริ่มต้นเพื่อควบคุมอาการแสบร้อนด้วยยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ได้แก่:

  • ยากลุ่มที่ช่วยบรรเทากรด: ช่วยลดอาการอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถรักษาความเสียหายที่เกิดจากกรดในหลอดอาหาร การใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น ท้องเสียหรือท้องผูก
  • ยากลุ่มลดการผลิตกรด: ไม่ทำงานเร็วเท่ายากลุ่มบรรเทากรด แต่ช่วยลดอาการได้อย่างมีนัยสำคัญและสามารถลดการสร้างกรดได้ถึง 12 ชั่วโมง
  • ยากลุ่มยับยั้งกรดและช่วยฟื้นฟูหลอดอาหาร: มีประสิทธิภาพมากกว่ายากลุ่มลดการผลิตกรด ช่วยฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นในหลอดอาหาร

ควรติดต่อแพทย์หากผู้ป่วยต้องใช้ยาดังกล่าวต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์หรือหากอาการไม่ดีขึ้น

5.2. ยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์

เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์อาจจะสั่งยาเหล่านี้ให้:

  • ยาต้านฮิสตามีน H2 (Anti H2)
  • ยากลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (PPI)
  • โดยทั่วไป ยาประเภทนี้ดูดซึมได้ดีและมีประสิทธิภาพ แต่การใช้ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักและขาดวิตามิน B12

6.การป้องกันโรคกรดไหลย้อน (GERD)

เพื่อป้องกันโรคกรดไหลย้อน ผู้คนควรใส่ใจในเรื่องของโภชนาการและรักษาจิตใจให้สงบ นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการเป็นโรคอ้วนก็เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอาจช่วยลดความถี่ของอาการแสบร้อนกลางอกได้

การดำเนินการตามข้อแนะนำเหล่านี้:

  • รักษาน้ำหนักให้ปกติ: การมีน้ำหนักเกินสร้างแรงกดดันต่อช่องท้อง, ดันกระเพาะอาหารขึ้นและทำให้กรดไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
  • หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้ารัดแน่น: เสื้อผ้าที่รัดแน่นรอบเอวสามารถเพิ่มความกดดันต่อช่องท้องและส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหาร
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นอาการแสบร้อน: ทุกคนอาจมีอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดอาการแสบร้อนแตกต่างกัน เช่น อาหารทอด, ของมัน, ซอสมะเขือเทศ, แอลกอฮอล์, ช็อกโกแลต, สะระแหน่, กระเทียม, หอม และกาแฟ
  • รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อตลอดวัน: หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมากเกินไปในมื้อเดียว โดยการแบ่งอาหารเป็นหลายมื้อในแต่ละวัน
  • ไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร: ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมงหลังการรับประทานอาหารก่อนนอนหรือเข้านอน
  • ยกหัวเตียงขึ้น: ใช้แรงโน้มถ่วงช่วยหากมีอาการแสบร้อนกลางอกบ่อย ๆ ในตอนกลางคืนหรือเมื่อเริ่มเข้านอน โดยการวางไม้หรืออิฐใต้ขาเตียงเพื่อยกหัวเตียงขึ้นจาก 15 – 23 ซม.
  • หากไม่สามารถยกหัวเตียงได้ สามารถใช้หมอนเสริมระหว่างที่นอนกับเตียงเพื่อยกครึ่งบนของร่างกายจากเอวขึ้น
  • ไม่สูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารทำงานได้ไม่ดี

โรคกรดไหลย้อนสามารถควบคุมได้หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ควรรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษาและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้กระเพาะอาหารและหลอดอาหารแข็งแรง

ดร. อมรรัตน์ วงศ์สุข
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและระบบทางเดินอาหาร

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

QR lớn
LINE QR
+66931587658